ณ เวลานี้คงไม่มีใครคนไหนไม่รู้ว่าอากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกๆวันมันไม่ดีเหมือนอย่างที่ผ่านมาเลย เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมปี 2561 ประเทศไทยเกิดวิกฤตค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ทั้งฝุ่นที่เห็นได้ชัดเจนและฝุ่นขนาดเล็กที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาปล่าวอย่าง PM 2.5 การจะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านก็สุดแสนจะสาหัส เพราะจำเป็นต้องใส่หน้ากากที่มันหายใจโคตรจะลำบาก กลับมาบ้านก็ใช่ว่าอากาศในบ้านจะดี ในเมื่อฝุ่นมันก็สามารถเข้ามาทางช่องลมของประตูหน้าต่างได้อีก
ขอบคุณภาพจาก โรครว้ายๆวัยทำงาน
ใครจะไปคิดว่าวันนึงเราต้องจ่ายเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศใช่มั้ย แต่สถานการณ์นั้นรู้สึกว่ามันเริ่มจำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิตของเราหละ จากการกูเกิ้ลหาเครื่องฟองอากาศดีๆซักตัวราคาก็ไม่ใช่ว่าจะเอื้อมถึงง่ายๆ อย่างน้อยก็ต้องมีเงินหลักหมื่นแล้ว จนไปเจอ Xiaomi Air Purifier 2S เห็นมีคนรีวิวเยอะพอสมควร ราคาก็ถูกกว่าชาวบ้านเค้าอีก
โดยส่วนตัวใช้สินค้าของ Xiaomi มาหลายตัวอยู่ ตั้งแต่นาฬิกา กล้อง ซึ่งสินค้าของเค้าก็ทำออกมาได้ดีสมราคาเลย เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจซื้อเจ้านี่ได้ไม่ยากครับ
จุดขายของเจ้า Xiaomi Air Purifier 2S
- ใช้ได้กับพื้นที่ 21 – 37 ตารางเมตร
- ฟอกอากาศได้ 310m³/h (ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง)
- ไส้กรองอากาศราคาไม่แพง เปลี่ยนเองได้ด้วย
- ใช้เลเซอร์ในการวัดค่าฝุ่นในอากาศ
- มีจอ OLED แสดงรายละเอียดและสถานะต่างๆ และสามารถหรี่แสงเองตอนมืดได้
- เชื่อมต่อกับแอปฯ Mi Home ผ่านสมาร์ทโฟนได้
- ขนาดตัวเครื่อง 24 x 24 x 52 เซนติเมตร น้ำหนักรวมไส้กรองแล้วแค่ 4.5 กิโลกรัม
รูปลักษณ์ภายนอก
ภายนอกออกแบบมาได้ดูเรียบแต่หรูไม่เหมือนเครื่องฟอกอากาศในยุคก่อน มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมขอบมน ผิวสัมผัสเป็นพลาสติกสีขาวแบบด้านดูสะอาดสะอ้าน
จอแสดงผลเป็น OLED แบบวงกลม แสดงค่าฝุ่นในอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น สถานะการเชื่อมต่อ โหมดการทำงาน เรียงจากซ้ายไปขวา
ตัวเครื่องสามารถดูดอากาศเข้าได้ 3 ด้าน คือ ด้านหน้า ซ้ายและขวา แต่ละด้านมีรูอยู่คล้ายกับตาข่ายจนทำให้มองเห็นไส้กรองด้านในเลยทีเดียว
หลังจากอากาศไหลผ่านไส้กรองแล้ว จะถูกปล่อยออกทางด้านบนด้วยใบพัดที่มีตะแกรงครอบอีกชั้นเพื่อป้องกันอันตราย ด้านขวาเป็นตำแหน่งของปุ่มเปิด-ปิดเครื่องและเซ็นเซอร์วัดแสง
ด้านหลังเครื่องจะเป็นตำแหน่งของปุ่มเปิด-ปิดจอแสดงผลด้านหน้า ส่วนด้านล่างเป็นเซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัดค่าฝุ่นละอองในอากาศ ที่สามารถวัดฝุ่นขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอนได้
ด้านล่างเซ็นเซอร์วัดฝุ่นจะเป็นฝาหลังสำหรับเปิดเพื่อเปลี่ยนไส้กรองอากาศ เวลาที่ต้องการจะเปลี่ยนไส้กรองเราก็แค่บีบที่จับเพื่อเปิดฝาหลัง จากนั้นดึงกรองเก่าออกมา ใส่กรองใหม่เข้าไปแทนที่แค่นี้เอง
ไส้กรอง
ไส้กรองของ Xiaomi มีอยู่ 3 แบบด้วยกัน แต่ละแบบก็ใช้งานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของเรา เวลาที่สามารถใช้งานของไส้กรองได้อยู่ที่ 4,000 ชั่วโมง ค่าตัวตกประมาณอันละ 1,000 บาทเท่านั้น
- Standard (สีฟ้า) อันนี้โรงงานแถมมาให้
- Anti-Bacteria (สีม่วง) อันนี้ช่วยในการฆ่าแบคทีเรียที่ลอยอยู่ในอากาศได้
- Anti-Formaldehyde (สีเขียว) อันนี้ช่วยลดกลิ่นของสีงานพิมพ์ การสกรีนพลาสติก รวมถึงสีทาบ้าน
การใช้งาน
ตัวเครื่องมาพร้อมโหมดการใช้งานทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน (แนะนำให้โหลดแอปฯ Mi Home มาก่อนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดครับ)
โหมด Auto เป็นโหมดที่เครื่องควบคุมการทำงานเอง ความเร็วของใบพัดจะขึ้นอยู่กับปริมาณฝุ่นที่เครื่องวัดได้ ยิ่งฝุ่นเยอะใบพัดจะหมุนเร็วขึ้น เสียงดังขึ้น แต่ถ้าฝุ่นในอากาศน้อย (< 30) เราแทบจะไม่ยินเสียงเครื่องเลยครับ
โหมด Night เป็นโหมดสำหรับคนต้องการความเงียบ ซึ่งปกติแล้วโหมด Auto ก็เงียบมากอยู่แล้ว
โหมด Favorite เป็นโหมดที่เกิดมาสำหรับให้เราควบคุมความเหมาะสมของเครื่องเอง โดยจะต้องใช้กับแอปฯถึงจะสามารถปรับขนาดของพื้นที่ห้องเพื่อเร่ง-ลดความเร็วของใบพัดและความสามารถในการฟอกอากาศ
หน้าจอมือถือเวลาเปิดแอปฯเทียบกับหน้าจอของตัวเครื่อง ยังแสดงผลได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ยังมีความเหลื่อมกันอยู่นิดหน่อย
สำหรับใครที่มี Google Home อยู่สามารถสั่งเจ้านี่ด้วยเสียงได้อีกต่างหาก ใครที่ใช้แค่โหมด Auto แบบผม เรียกว่าลืมแอปฯ Mi Home ไปเลยหละ เพราะสั่งแค่เปิด-ปิดเครื่องผ่าน Google Assistant ก็เพียงพอแล้ว
3 เดือนหลังจากใช้งานจริงกับ Xiaomi Air Purifier 2S
ปกติผมตั้งเจ้านี่ไว้แค่ในห้องนอน จะเปิดเครื่องเฉพาะตอนก่อนนอนที่โหมด Auto ซึ่งหลังจากใช้งานมา 3 เดือนรู้สึกได้ว่าตอนตื่นมาไม่ค่อยแสบจมูกเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ แต่เรื่องที่ประหลาดใจคือหลังจากเปิดไส้กรองมาดูแล้วพบว่ามันไม่ได้สกปรกอย่างที่คาดไว้เลยซักนิด เลยไม่แน่ใจว่าเครื่องนี้จะดีจริงรึเปล่าหรืออาจจะเป็นที่ห้องนอนมีฝุ่นน้อยก็เป็นไปได้
ไม่เพียงแค่นั้นตรงฐานของไส้กรองเจอฝุ่นเกาะอยู่บานเลย แสดงให้เห็นเจ้านี่ไม่ได้สามารถที่จะดูดฝุ่นที่เกาะอยู่บนพื้นผิวขึ้นมาได้เลย
ข้อดี
- ดีไซน์สวย ใช้เป็นของแต่งบ้านยังได้
- ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับความสามารถที่ได้
- ตัวเครื่องทำงานเงียบมาก
- เปลี่ยนไส้กรองได้หลายแบบและราคาไม่แพง
- สามารถสั่งงานผ่าน Mi Home และ Google Assistant ได้
ข้อเสีย
- แอปฯ Mi Home ยังไม่รองรับพื้นที่ประเทศไทยและยังมีดีเลย์อยู่บ้าง
- มีบางจังหวะวัดค่าฝุ่นในอากาศเพี้ยนอยู่บ้าง ปกติค่าที่วัดได้อยู่ที่เลขหลักเดียว แต่อยู่ดีๆก็ขึ้นไปถึง 70 กว่าแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยซะงั้นทำให้เครื่องทำงานเสียงดังขึ้นมาดื้อๆ.
ใครที่ห่วงใย ใส่ใจสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรัก สามารถซื้อเครื่องฟอกอากาศได้ทาง Shopee และ Lazada ครับ